ประกาศ!!!!! ยังไม่เรียบร้อยดีนะครับ กำลังปรับปรุง

ข่าวสาร BMX

ข่าวสารต่างๆกับกิจกรรม BMX

Singha Light X Sports Championship



 “สิงห์ ไลท์ เอ็กซ์ตรีม สปอร์ต 2010 ไทยแลนด์ แชมป์เปี้ยนชิพ”

...การแข่งขันกีฬา BMX ผาดโผน , Skateboard และ Inline Skate ชิงแชมป์ประเทศไทย
คัดตัวทีมชาติไทยไปชิงแชมป์เอเชีย และชิงแชมป์โลก
จัดอันดับนักกีฬา X ไทย ทั้งรุ่น สมัครเล่น และรุ่น Open

ใครจะก้าวสู่ความเป็นหนึ่ง ชิงทุนการศึกษาและรางวัลมูลค่า กว่า 1 ล้านบาท
บนสนามแข่งใหม่ระดับโลก ใหญ่กว่า 1200 ตารางเมตร

พบกิจกรรมเอ็กซ์ตรีมมันส์ ๆ เล่นเกมส์ชิงรางวัลมากมาย
บูธสินค้าออปชั่นสุดแนว ที่พากันมาลดกระหน่ำ
ฟูดคอร์ทอาหารเพียบ Singha Light Beer Garden






พร้อมสูบฉีดความมันส์กับ การประกวดวง Rock วัยมัน,
Mosh กันให้ตายกับ กล้วยไทย
และคอนเสิร์ตสุดฮิปจาก Crescendo และ Klear

15-17 ตุลาคมนี้ เที่ยงวันยัน เที่ยงคืน ณ มอเตอร์สปอร์ตแลนด์ (แดนเนรมิตเก่า)
เยื้องๆ รร หอวัง และ Central ลาดพร้าว (MRT พหลโยธิน)

การันตีความมันส์โดย Singha Light และ TESA
ร่วมทะลุขีดจำกัดโดย Air Asia, โซดาสิงห์, น้ำสิงห์, เมืองไทยประกันชีวิต, Fallen, Supra, Macbeth, Nixon, KOB

-------------------------------------------------



ประวัติความเป็นมาของ BMX

จักรยานสองล้อรุ่นแรก ๆ ที่เป็นต้นแบบของจักรยานสองล้อในปัจจุบันมีกำเนิดขึ้นครั้งแรกเมื่อราวปี พ.ศ. 2343ในปี พ.ศ. 2408  ได้มีการผลิตจักรยาน 2 ล้อ รุ่นหนึ่งซึ่งมีตัวล้อเป็นเหล็ก  และมีขอบล้อทำด้วยไม้  กำลังเคลื่อนล้อได้มาจากแรงปั่นด้วยเท้าบนบันไดทั้งสองของรถจักรยาน  เหมือนกับในรถสามล้อถีบปัจจุบัน  ในช่วงต่อมาได้มีการใช้ล้อทำด้วยยาง    และในราวปี พ.ศ. 2423-2433  ขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางล้อหน้าได้ขยายใหญ่ขึ้นถึง 60  นิ้ว  ซึ่งทำให้มันสามารถเคลื่อนที่ได้เป็นระยะทางถึง 16  ฟุต จากการปั่นบันไดรถจักรยานหมุน 1 รอบ  อันมีผลให้มันสามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วสูง  ทั้งในแนวราบและวิ่งลงเขาแต่สำหรับการขี่ขึ้นทางชันนั้นจะต้องออกแรงเป็น อย่างมาก นอกจากนั้นการที่จุดศูนย์ถ่วงของตัวจักรยานอยู่สูงทำให้มันมีแนวโน้มที่จะ พลิกคว่ำหรือเกิดอุบัติเหตุได้โดยง่าย  ดังนั้น  ในราวปี พ.ศ. 2428  จึงได้มีการผลิตจักรยานรุ่นใหม่ที่มีรูปลักษณะเหมือนจักรยานสมัยใหม่ใน ปัจจุบัน  คือ ล้อทั้งสองมีขนาดเท่ากัน  และมีเฟืองที่บันไดรถ  เพื่อถ่ายทอดกำลังผ่านโซ่ไปยังล้อหลัง  ทำให้เกิดลักษณะการขับขี่มั่นคงกว่าเดิม  และยังให้อัตราทดกำลังด้วยการเลือกใช้เฟืองทดกำลังที่เหมาะสมสำหรับขับขี่ โดยเฉพาะด้วยความเร็วต่ำแต่เบาแรงกว่าในขณะปั่นขึ้นเขาหรือทางชัน

จักรยานBMXเกิด ขึ้นประมาณยุค 70  ในทางตอนใต้ของคาลิฟอร์เนีย โดยกลุ่มเด็กกลุ่มหนึ่งได้ปรับแต่งจักรยานขนาดล้อ 20นิ้ว ซึ่งพวกเขาได้แรงบรรดาลใจจากการชมภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการแข่งขัน จักรยานยนต์  Motocass  แล้วทำให้เป็นที่นิยมกันมากในตอนนั้น    การแข่งขันจักรยานวิบากแบบ BMX (Bicycle Moto Cross)    ที่มีวงล้อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20 นิ้ว ในประเภทความเร็ว(Racing) ได้เป็นที่นิยมกันมากในประเทศสหรัฐอเมริกาและได้แพร่ขยายไปทั่วโลกในเวลาอัน รวดเร็ว   หลังจากนั้นไม่นานนักขี่หลายๆคนได้ฝึกท่าทางพลิกแพลงผาดโผนในแบบต่างๆ เพื่อความสนุกสนาน และใช้โชว์ออฟกันในกลุ่มเพื่อนๆ ทั้งยังเป็นการฝึกทักษะในการควบคุมรถได้อย่างดี และเมื่อมีโอกาส ก็มักจะได้นำท่านั้นมาออกโชว์กันในช่วงพักของการแข่งขัน หรือในการโปรโมท์ ให้กับสปอนเซอร์ของตน ซึ่งจะเรียกความสนใจจากผู้คนได้ดีทีเดียว ต่อมาเมื่อมีท่าทางหลากหลายมากขึ้น   นักขี่หล่าวนั้นได้หันมาเน้นฝึกแต่ท่าพลิกแพลง(Tricks)  อย่างจริงจัง
จน กระทั่งได้กลายเป็นกีฬาประเภทใหม่ที่เน้นฝึกเฉพาะแต่ท่าผาดโผนอย่างเดียว  และได้พัฒนาท่าพลิกแพลงเหล่านี้ให้มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

สิ่งที่ น่าสนใจคือ ในยุคนั้นท่ายังไม่มีมากนัก จึงมีการคิดค้นลีลาต่างๆ ออกมาใหม่ ตลอดเวลา นักขี่แต่ละคนจะมีท่าเป็นของตนเอง ไม่ค่อยจะซ้ำกันนัก นักขี่กลุ่มนี้จึงถูกขนานนามว่า "Freestyler" และได้เริ่มมี การจัดการแข่งขันเฉพาะทางขึ้น นักขี่ที่มีชื่อที่สุด
คนหนึ่งในช่วงนั้น คือ Bob Haro ซึ่งถือได้ว่าเป็น "Father of Freestyle"
(ปัจจุบันเป็นเจ้าของบริษัทจักรยานที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดบริษัทหนึ่ง)

ใน ราวปี 1985 เป็นต้นมา ทางบริษัทผู้ผลิตจักรยานหลายๆราย ได้มีการผลิตอะไหล่ ที่ทำไว้สำหรับการเล่นท่า Freestyle ได้แก่ตัวถังที่มีที่ยืนตรงหลักอาน, ที่ยืนตรงแฮนด์, ที่ยืนตรงแกนล้อ และตะเกียบฯลฯ  การจัดแข่งขันเริ่มมีมากขึ้นมีการรวมตัวนักขี่ผาดโผน จัดตั้งเป็นทีม Freestyle  อย่างเต็มรูปแบบ ในช่วงนี้เอง ที่สมาคม AFA(American Freestyle Association) ได้เข้ามาผูกขาดในการจัดแข่งขันครั้งใหญ่ๆ นักขี่เอือมกับกติกาหยุมหยิม เช่น Flatland ก็ให้ใส่หมวกกันน๊อก และกรรมการเป็นคนธรรมดาไม่รู้จักการให้คะแนน โดยเฉพาะท่ายากๆหรือท่าใหม่ๆ  แบนนักขี่ที่ไปแข่งงานอื่น  จัดแบ่งรุ่น(Class)ละเอียดยิบ ซึ่งนอกจากจะแบ่งตามรุ่นอายุ ยังมีรุ่นสมัครเล่น(Amateur) และรุ่นมืออาชีพ(Pro) ซึ่งนักขี่จะลงได้หลายรุ่น ปัญหาจึงอยู่ที่คนที่มีฝีมือดียังไม่ยอม Turn Pro ง่ายๆเพราะยังหวงตำแหน่งอยู่ต่อมาในยุค 90  AFA ยกเลิกการจัดแข่ง ทำให้วงการเงียบเหงาไปพักหนึ่ง แต่ก็ได้ Mat Hoffman ซึ่งเป็นนักขี่ ได้ริเริ่ม จัดงานแข่งขึ้นเองชื่อ Bike Stunt Series หรือ BS ซึ่งเป็นการปลุกผีวงการขึ้นมาอีกครั้ง และได้ประสบความสำเร็จอย่างสูง จนกระทั่ง ESPN ช่องกีฬายักษ์ใหญ่ได้มาติดต่อขอซื้อรายการต่อ  จัดให้มีการนำภาพจากการแข่งไปออกอากาศทั่วโลก และต่อมาได้รวบรวมกีฬาสุดขั้วหรือ Extreme Sports เข้าไว้ด้วยกันภายใต้ชื่อ “X-GAMES”

Credit : www.thaibmx.com